วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

9 เมนูอาหารพลังงานต่ำ อร่อยล้ำกับของกินใกล้ตัวไม่กลัวอ้วน







          เมนูอาหารลดน้ำหนักต้องเลือกกินอาหารคลีนอย่างเดียวซะที่ไหน ของกินใกล้ตัว 9 เมนูนี้ก็กินแล้วไม่อ้วน เพราะเป็นอาหารแคลอรีต่ำ

          วิธีลดน้ำหนักให้ได้ผลต้องทำควบคู่กันไปทั้งควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทว่าการควบคุมอาหารนี่แหละที่ยากเหลือเกิน อย่างน้อย ๆ อาหารที่วางขายใกล้ออฟฟิศหรือตลาดแถวบ้านก็ดูเป็นอาหารพาอ้วนไปซะหมด เอ้า ! แต่ถ้ายังอยากมีความสุขกับการกินโดยไม่ต้องกลัวอ้วนเชิญทางนี้ คุณโด-D-โด้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มี 9 เมนูพลังงานต่ำ อร่อยล้ำแถมหากินง่าย ๆ มาฝากให้ลองทำตามกันดู ซึ่งเขาคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยร้านอาหารตามสั่งข้างทางที่ทุกเมนูล้นไปด้วยความมันเยิ้ม ร้านกาแฟเจ้าประจำที่อัดแน่นทั้งน้ำตาล ครีมเทียม นมข้น ดื่มแล้วชื่นใจแต่รับแคลอรีไปเต็ม ๆ เฮ้อ ! ในเมื่อของกินใกล้ตัวล้วนแต่ชวนอ้วนซะขนาดนี้ เราเองคงต้องมาคัดสรรเมนูอาหารแคลอรีต่ำด้วยตัวเองซะแล้วล่ะ



จั่วหัวด้วย 9 เมนูแคลอรีต่ำก่อน

          1. ปลาเผา 150 กิโลแคลอรี

          2. ส้มตำ 35 กิโลแคลอรี

          3. ไก่ย่าง (เนื้อส่วนอก สะโพก ไม่หนัง) 160 กิโลแคลอรี

          4. โจ๊กหมู 160 กิโลแคลอรี

          5. เกาเหลา 230 กิโลแคลอรี

          6. ยำวุ้นเส้น 120 กิโลแคลอรี

          7. กระเพาะปลา 250 กิโลแคลอรี

          8. หมูมะนาว 150 กิโลแคลอรี

          9. แกงส้ม 105 กิโลแคลอรี

          ผมเคยเขียนเกี่ยวกับการออกกำลังกายง่าย ๆ ที่บ้านไปแล้ว วันนี้ขอเขียนเกี่ยวกับของกินบ้าง การจะลดน้ำหนักเนี่ย 70% อยู่ที่ "ของกิน" นะครับ ย้ำอีกครั้ง!! การจะลดน้ำหนัก 70% อยู่ที่ของกิน !!! ออกกำลังกายนั้นแค่ 30% เท่านั้น แต่ !!! ผมไม่ได้บอกว่าออกกำลังกายไม่สำคัญนะครับ มันก็สำคัญนั้นแหละ เพราะมันช่วยให้ร่างกายแข็งแรงครับผม

          ความจริงวันนี้คือ !!! ไม่ต้องเลือกครับ...ทำให้หมดทุกอย่างทั้งดูแลอาหารและออกกำลังกาย คราวนี้แข็งแรงและหุ่นดีแน่นอน

          ต่อครับเรื่องอาหาร ถ้าเราทำอาหารคลีนหรือสั่งอาหารคลีนมากินเองได้ทุกมื้อมันก็ดีครับ น้ำหนักก็ลงเร็วหน่อยเพราะอาหารคลีนนั้นพลังงานต่ำอยู่แล้ว ส่วนมากจะอยู่ที่ 300-400 กิโลแคลอรีต่อกล่อง แต่ถ้าคนที่ทำไม่ได้ล่ะ (คนส่วนมากซะด้วย) ด้วยชีวิตชาวเมืองที่ต้องแข่งกับเวลา (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ฮ่าาาา) อาจจะต้องบังคับตัวเองนิดนึงที่จะตื่นเช้ามาปรุงเอง หรือต้องเพิ่มเงินสั่งอาหารคลีนมาทาน เนื่องจากอาหารคลีนต้องมีค่าใช้จ่ายในการส่งจึงต้องสั่งมาทีละหลาย ๆ กล่อง สั่งมาเราก็ต้องแช่ตู้เย็นไว้ 3-5 วันแล้วค่อยเอามาเวฟกิน บางคนอาจจะไม่สะดวกทำ (อันนี้ความเห็นส่วนตัวจากที่เคยลองทำนะครับ) ถ้าใครทำได้ผมยินดีด้วย ทำต่อไปครับหุ่นดีแน่นอน

          กินอาหารคลีนทุกมื้ออย่าลืมเติมไขมันดีเข้าร่างกายด้วยนะครับ ร่างกายต้องการไขมันอยู่พอสมควรเลย เช่น ปลาแซลมอน น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ฯลฯ

เข้าเรื่องการสั่งของกินกันดีกว่า !!! แถวออฟฟิศเรามีอะไรกินบ้าง...
          อาหารตามสั่งร้านป้าข้างออฟฟิศก็อื้อหือ...มันเยิ้มมาเชียว ทุกเมนูเลย จะมันอะไรขนาดน้านนนน หมูแดงหมูกรอบแสนอร่อย ฮ่าาา ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ หมกไก่ มาให้หมด ผมเองก็ชอบนะครับไม่ใช่ไม่ชอบ (ทุกวันนี้ก็ยังกินอยู่ แต่นาน ๆ ทีไม่ใช่ทุกวัน อิอิ)

          กาแฟเย็นก็นะ...เห็นตอนชงแล้วน้ำตาจิไหล นี่ฉันกินอะไรกันอยู่ น้ำตาลทราย 2 ช้อนพูน ครีมเทียมซัดมาอีก 2 ช้อน ต่อด้วยนมข้นหวานรวมกันเกือบเต็มแก้ว และรินน้ำกาแฟไปหน่อยนึง คน ๆๆๆๆๆ ใส่แก้วกินได้แล้วจร้าาาาาาาา

มาเรียงลำดับประเภทของการปรุงที่ให้พลังงานมากไปหาน้อยกันดีกว่า

          ทอด > ผัด > ย่าง > ต้ม > นึ่ง

          ถ้าจะลดน้ำหนักโฟกัสไปที่ต้มกับนึ่งเลยครับ ช่วยได้เยอะ (มากด้วย) เพราะพลังงานต่ำกว่าทอดอยู่เยอะเฟร่อออ และตามสไตล์ผมนะครับจะเดินทางสายกลางไม่ตึงเกินไปและก็ไม่หย่อนเกินไป

วิธีการสั่งของกินให้ได้พลังงานน้อยลง

          เมนูต้ม&นึ่ง สำหรับผมส่วนเกินของเมนูต้มก็คือ...กระเทียมเจียวนั่นเอง !!!

          เพียงแค่เราบอกแม่ค้าว่าไม่เอากระเทียมเจียวเท่านี้ก็ตัดพลังงานที่ไม่จำเป็นออกไปประมาณ 50-100 กิโลแคลอรีแล้วครับ แค่นี้เองง่ายใช่ไหมเล่า (ต้องสั่งบ่อย ๆ ให้ชินนะครับ เพราะแรก ๆ เราจะลืมสั่งประจำ ผมก็เป็น 555)

หลีกเลี่ยงไขมันในมื้ออาหารนั้น ๆ เช่น

          ขาหมูไม่เอามัน เอาแต่เนื้อกับไข่ ตัดพลังงานได้ 100-200 กิโลแคลอรี แต่ถ้าใจรักจริง ๆ ก็บอกเอามันน้อยหน่อยเน้นเนื้อก็ยังดี

          ข้าวมันไก่ไม่เอาหนัง หรือถ้าสายโหดขึ้นไปอีกบอกเอาข้าวมันครึ่งเดียว ใส่ข้าวธรรมมาดาครึ่งนึง (แม่ค้าจะหันมามองหน้า ให้เราส่งยิ้มหวานคืนไปทีนึงครับ ^_^)

          จากข้าวหมูกรอบเป็น หมูกรอบครึ่งนึงหมูแดงครึ่งนึง (ไม่ใช่ใส่หมูกรอบมา 1 หน่วยและหมูแดง 1 หน่วยนะ ให้แบ่งหมูมาอย่างละครึ่งหน่วย ฮ่าาา) งงไหมน้อ

          ก๋วยเตี๋ยวไก่หรือเป็ด เขี่ยส่วนหนังออก ลำบากไปนิดนึง แต่ถ้าทำได้เราจะเหลือโควต้าไปกินอย่างอื่นได้แทนนะครับ

เครื่องดื่มที่หวาน ๆ ทุกชนิด

          พูดให้ติดปากเลยนะครับ "หวานน้อย" หรือ ไม่เอาน้ำตาล (สำหรับสายโหด ตอนนี้ผมมาขั้นนี้ได้แล้ว ฮ่าาา)
          กาแฟเย็นเนี่ยตัวดีเลย ผมกินทุกวัน ชอบกินเพราะรสชาติและกลิ่นของมัน เมนูโปรดผมคือ Espresso No Sugar เมนูอื่นก็เช่นกัน ชาเขียว ชาไทย กาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต พวกนี้จริง ๆ ตัวมันเองให้พลังงานต่ำมาก !!! แต่ที่เราอ้วนก็เพราะน้ำตาล นมข้นหวาน ครีมเทียมที่ใส่มาพร้อมพวกมันครับ ถ้าจะลดน้ำหนักสั่งไปเลย "หวานน้อย" จะตัดพลังงานออกไปได้ 100-200 กิโลแคลอรีนะครับ

          ท่องไว้เลยนะครับ "ไม่เจียว" "หวานน้อย" คาถาลดน้ำหนัก ฮ่าาา

คราวนี้มาไล่เรียง 9 เมนูแคลอรีต่ำกันชัด ๆ 


1. ปลาเผา 150 กิโลแคลอรี

          ปลาเผาตัวนึงพลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรีนะครับ เจ้าปลาเผาเนี่ยไขมันน้อยมาก...ส่วนมากในตลาดจะเป็นปลานิล ปลาทับทิม ทานกับผัก น้ำจิ้มซีฟู้ดพลังงานต๊ำ ต่ำ ถ้าทานเป็นเมี่ยงด้วยก็จะมีผักเยอะหน่อยดีนะครับ ถ้ารู้สึกไม่อยู่ท้องก็เติมเส้นขนมจีนหรือข้าวสวยไปสักนิดก็ได้ครับ +พลังงานมาอีกประมาณ 100 กิโลแคลอรี พอรับไหวครับผม อัดผักเข้าไปเยอะ ๆ อิ่มอยู่ท้องแน่นอน ^_^


2. ส้มตำ 35 กิโลแคลอรี (ต่อจานนะจ๊ะ ไม่ใช่ถาด ฮ่าาา)

          เมนูยอดฮิตของสาว ๆ ชอบกันเหลือเกิน พลังงานต่ำเวอร์ครับ เพราะส่วนผสมเนี่ยมีแค่มะละกอกับเครื่องปรุงรส ไขมันนี่เรียกได้ว่าไม่มีเลย ถ้ารู้สึกไม่อยู่ท้อง (ซึ่งไม่อยู่แน่นอน ใครจะไปอิ่มเล่า) สาว ๆ จะสั่งใส่ขนมจีนมาด้วยก็ได้ ผมจำไม่ได้ว่าเรียกว่าตำอะไร ผมกินเผ็ดไม่ค่อยเก่งเลยไม่แตะเลยเมนูนี้ 555 +เส้นขนมจีนก็ไม่ถึง 100 กิโลแคลอรีหรอกครับ เมนูนี้เด็ดมากเอาใจสาว ๆ กันเลยทีเดียว ถ้าเป็นตำไทยจะใส่น้ำตาลปี๊บหวาน ๆ มาหน่อยแต่ก็ไม่เยอะครับ ยังไงเมนูนี้ไม่เกิน 100 กิโลแคลอรีอยู่แล้วสบายใจได้ครับผม

          ป.ล.ระวังแคปหมูที่ชอบจัดชุดกันมานะครัช ตัวแสบเลยล่ะ เคี้ยวกันกรุ๊บกรั๊บอร่อยกันเลยทีเดียวเชียว


3. ไก่ย่าง (อก สะโพก ไม่หนัง) 160 กิโลแคลอรี

          มาต่อด้วยเมนูนี้ จัดชุดกันมากับส้มตำได้เลยครับ เอาหนังออกเนี่ยพลังงานไม่เยอะครับประมาณ 160 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง ถ้าติดหนังมาด้วยนี่ก็ 200++ กิโลแคลอรีครับผม จริง ๆ แล้วอาหารที่พลังงานเยอะมันเยอะมาจากน้ำมัน หรือไขมันสัตว์นั่นเอง ถ้าได้อ่านวิธีการสั่งด้านบนมาแล้วจะรู้ครับผม


4. โจ๊กหมู 160 กิโลแคลอรี

          เมนูนี้ผมทานบ่อยมาก ช่วงเลิกงานร้านข้างออฟฟิศ เรียกได้ว่าแค่เดินไปนั่งที่โต๊ะไม่ต้องสั่งกันเลยทีเดียวเชียว หันขวาไปส่งยิ้มหวานทีนึง แม่ค้าทำแล้วเอามาเสิร์ฟตรงหน้าได้เลย ฮ่าาา ของผมจะเพิ่มไข่ลวกด้วย 1 ฟอง+ไปอีก 70 กิโลแคลอรี รวมแล้วก็แค่ 230 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง สบาย ๆ ครับเมนูนี้หายห่วง ๆ

          ป.ล.หมูสับบางร้านผสมไขมันมาค่อนข้างเยอะต้องดูนิดนึงครับ แต่รวม ๆ แล้วก็ไม่เกิน 200 กิโลแคลอรีหรอกครับสำหรับโจ๊กกับหมูสับ (ร้านไหนหมูสับอร่อย ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเค้าใส่ไขมันมาเยอะแน่นอน ฮ่าาาา)

          ป.ล.2 ระวัง !!! ปลาท่องโก๋ ไม่ว่ามันจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่มันโหดร้ายทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่พลังงานสูง ไขมันมันยังมหาศาลอีกด้วยยยยย เป็นห่วงนะครับ




5. เกาเหลา 230 กิโลแคลอรี

          ถ้าไม่ใส่กระเทียมเจียวเนี่ยไม่ถึง 200 กิโลแคลอรีด้วยซ้ำไป เพิ่มข้าวประมาณ 80-100 กิโลแคลอรี สบาย ๆ ครับเมนูนี้อยู่ท้องด้วย ผมจะชอบสั่งว่าพิเศษเพิ่มเนื้อสัตว์ไม่เอากระเทียมเจียว มื้อเย็นเนี่ยอิ่มสบายท้องครับผม ถ้าเราไม่ได้ชอบทานลูกชิ้นเป็นการพิเศษ ผมแนะนำว่าให้สั่งว่าเอาแต่เนื้อสัตว์ครับ จะได้โปรตีนเต็ม ๆ ลูกชิ้นมีผสมแป้งมาด้วย ถ้าเราลดน้ำหนักอยู่ตัดแป้งมื้อเย็นได้จะดีมากครับผม


6. ยำวุ้นเส้น 120 กิโลแคลอรี

          ที่สุดแห่งเส้นคือวุ้นเส้นนั่นเอง จุดเด่นของวุ้นเส้นไม่ใช่พลังงานต่ำอย่างเดียวนะครับ ผมมองว่าจุดเด่นมันคือความอืด 5555 เวลาโดนน้ำมันพอง ทานช้า ๆ มันจะอิ่มง่ายมันไปอืดในท้อง อิอิ ด้วยวิธีการปรุงนั้นเอาไปลวกแล้วเอามายำ ไขมันน้อยมาก ส่วนมากไขมันของเมนูนี้คือ หมูสับนั่นเอง รวม ๆ แล้วพลังงานน๊อยน้อยนะครับผม จัดมื้อเย็นได้สบาย ๆๆๆๆ


7. กระเพาะปลา 250 กิโลแคลอรี

          เมนูนี้น่าจะเป็นเมนูที่พลังงานสูงที่สุดใน 9 เมนูนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่เกิน 300 กิโลแคลอรีอยู่ดี ทานมื้อเย็นได้สบ๊าย สบาย ถ้าไม่เอาเส้นหมี่พลังงานลดลงอีกนะครับ แต่ถ้ากลัวไม่อยู่ท้องใส่ไปก็ได้ครับ ปกติก็ไม่ได้ใส่เยอะอยู่แล้ว ถ้าอยากตัดพลังงานออกอีกให้ไม่ทานหนังไก่ในนั้นดีกว่า ส่วนมากจะชอบมีไหล่ไก่มา เราจะได้รับพลังงานเพิ่มจากหนังไก่ตรงนี้นี่แหละครับท่านผู้ชมมมมม




8. หมูมะนาว 150 กิโลแคลอรี

          มาดูเป็นกับข้าวกันบ้าง พลังงานนี้เฉพาะกับข้าวเด้อ ถ้าเพิ่มข้าวก็+พลังงานจากข้าวเพิ่มไปด้วยน้าา เมนูนี้ผมชอบนะครับ โปรตีนเน้น ๆ จากเนื้อหมูลวก แล้วเอามาปรุงเปรี้ยว ๆ อร่อยดีแทบจะไม่มีไขมันเลย อาจจะมีบ้างจากชิ้นส่วนของหมู ไม่เยอะครับเพราะมันไหลออกไปกับน้ำตอนลวกแล้วบ้างบางส่วน สบาย ๆ ครับจัดไปเต็มที่


9. แกงส้ม 105 กิโลแคลอรี

          เมนูสุดท้าย!!!! แกงส้มนั่นเอง ผักล้วน ๆ รสชาติเปรี้ยวอร่อย ๆ พลังงานน้อยเว่อร์+ข้าวได้ครับจะได้อยู่ท้อง ข้อควรระวังในเมนูนี้ก็คือ "แกงสมชะอมทอดไข่" 5555 ไข่ทอดเนี่ยตัวดีเลยครับ ตัวมันเองอมน้ำมันมากกกกก ถ้าเป็นแกงส้มผักธรรมดากับกุ้งเนี่ยครับดี สุดพลังงานต่ำครับผมจัดปายยยย


แถม!!! ข้าวสวย 80 กิโลแคลอรี (1 ทัพพี)
          อาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน สำหรับบางคนเรียกได้ว่าถ้าไม่ได้กินข้าวจะรู้สึกไม่อิ่ม (จริง ๆ เราคิดไปเองครับอันนี้ เป็นจิตวิทยา) ด้านบนจะมีเมนูกับข้าวอยู่ ถ้ากินกับข้าวสวยก็เพิ่มพลังงานเข้าไป และเรื่องปริมาณในการคำนวณพลังงานเนี่ย เป็นเรื่องที่ปวดสมองมาก...เพราะว่าที่บ้านแต่ละคนขนาดทัพพีไม่เท่ากันเลยคำนวนยาก ถ้าอยากให้เห็นภาพ คิดถึงข้าวถ้วยกระป๊อกตามตลาดนัดครับ ก้อนเล็ก ๆ นั่นนับเป็น 1 ทัพพีครับผม ให้พลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี ซึ่งเหล่าชายชาตรีอย่างเรามี 2-3 แน่นอนครับผมถึงจะอยู่ท้อง ถ้าจะเอาให้ง่ายกว่านั้นอีกบางคนหุงข้าวเอง 1 ทัพพีประมาณ 4 ช้อนสั้นพูน ๆ ครับผม ข้าวหนึ่งจานก็จะประมาณ 100-200 กิโลแคลอรีครับผม

          เรื่องตัวเลขพลังงานเนี่ยผมอยากให้เราดูเป็นแนวทางนะครับ ดูให้รู้ว่าเรากำลังกินอะไรอยู่ อย่าไปยึดติดมากเดี๋ยวจะกลายเป็นจิตตก อันนั้นก็กินไม่ได้อันนี้ก็กินไม่ได้ ของทุกอย่างทานได้หมดครับ มันอยู่ที่ปริมาณต่างหาก ทานแต่พอดี เอาความพอดีเป็นที่ตั้งครับ อาหารคลีนที่ว่าพลังงานต่ำลองทานมื้อละ 2 กล่องดูสิครับ ก็ตกวันละ 6 กล่อง ดูซิน้ำหนักจะขึ้นไหม ฮ่าาาา    

          เรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองแล้วสนุกกับมันนะครับ การเลือกทานอาหาร+กับการออกกำลังกาย ผมว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ผมเองเคยน้ำหนัก 85 หน้านี่เต็มจอเลยล่ะถ่ายรูปมาเนี่ย เรียกได้ว่าไม่กล้าเซลฟี่เลยล่ะ เลือกทานอาหารกับออกกำลังกายก็ลดน้ำหนักได้แล้วครับ แล้วลดถาวรด้วยขอบอก ไม่ต้องไปพึ่งยาลดน้ำหนักที่อันตรายด้วย...ขอให้ทุกคนโชคดีสั่งอาหารพลังงานต่ำกินกันให้หุ่นเป๊ะทุกคนนะครับ !!! #โด-D-โด้

          การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่ออกกำลังกายอย่างเดียว หรือควบคุมอาหารอย่างเดียว แต่ต้องทำควบคู่กันไปเรื่อย ๆ และที่สำคัญอย่าหมดกำลังใจหรือใจร้อนนะคะ ค่อย ๆ ดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แล้วเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของตัวเอง อ้อ ! แล้วอย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์ไว้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับเพื่อน ๆ กันด้วยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณโด-D-โด้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    

นอนน้อย กินอะไรให้สดชื่น ต้อง 8 อาหารบำรุงคนอดนอนตามนี้







          นอนน้อยนอนดึกทุกวัน จนกลายเป็นหมีแพนด้าขอบตาดำคล้ำ ว่าแต่นอนน้อยแบบนี้ กินอะไรให้สดชื่นดีล่ะ

          สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องนอนดึกทุกวัน หรือนอนไม่พอบ่อย ๆ ร่างกายคงอ่อนล้าจนอยากหาอะไรมาบำรุงให้รู้สึกสดชื่นขึ้นแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นมาลองดูอาหารบำรุงสำหรับคนอดนอนที่เรานำมาฝากสิคะ นอนน้อยแบบนี้ กินอะไรให้สดชื่น ต้องนี่เลย

1. เต้าหู้ เนื้อปลา ไก่ ไข่ขาว ไข่แดง และถั่วเหลือง

          อาหารเหล่านี้มีโคลีน (Choline) ตัวช่วยสร้างเคมีสมอง สารอาหารจำเป็นสำหรับคนนอนดึก เพราะจะช่วยให้สมองที่เหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอได้รับสารอาหารไปบำรุง ทดแทนเคมีสมองธรรมชาติที่ร่างกายไม่มีโอกาสสร้างขึ้นมาเองเพราะเราอดนอน ทำให้สมองเกิดความตื่นตัวแม้จะไม่ได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอมาก่อน


2. ข้าวกล้องงอกและธัญพืช

          กาบ้า (GABA) คือสิ่งที่ร่างกายต้องการจากข้าวกล้องและธัญพืช โดยกาบ้าจะช่วยให้สมองที่ยังมึน ๆ ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งวิตามินบีที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองให้ตื่นตัวอีกด้วย

3. น้ำ

          การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดเลยรู้ไหมคะ เพราะน้ำจะช่วยให้ปริมาณออกซิเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รู้สึกตื่นตัวมากขึ้น

          อ้อ ! แต่น้ำที่ควรจิบในระหว่างวันควรต้องเป็นน้ำในอุณหภูมิห้องนะ เพราะร่างกายจะดูดซึมไปไหลเวียนในเลือดได้ง่ายกว่าน้ำเย็น ดังนั้นแม้น้ำเย็นจะทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ถ้าอยากหายง่วงเร็ว ๆ ควรดื่มน้ำอุณหภูมิปกติดีกว่า


4. ดื่มดาร์กช็อกโกแลตหรือโกโก้แทนกาแฟ

          ถ้าอยากปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยคาเฟอีนในกาแฟ ขอแนะนำให้เลี่ยงมาดื่มดาร์กช็อกโกแลตหรือโกโก้แทนดีกว่า เพราะในเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้มีฟลาโวนอยด์ สารกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น


5. เน้นผัก ผลไม้

          ผักและผลไม้มีปริมาณวิตามินซีและวิตามินบีอยู่พอสมควร รวมทั้งแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของต่อมไพเนียล (Pineal Gland) เพราะหากเมื่อเรานอนไม่พอขึ้นมาเมื่อไร เจ้าต่อมไพเนียลก็จะออกอาการงอแงไม่อยากจะทำหน้าที่จนเรารู้สึกงัวเงียตามไปด้วย ดังนั้นหากอยากปลุกความสดชื่น ผักสดและน้ำผลไม้คั้นสด ๆ นี่แหละตัวช่วยที่ดี


6. น้ำใบบัวบก

          ที่ต้องแยกใบบัวบกออกมาอีกข้อ เพราะสรรพคุณของใบบัวบกโดดเด่นจนอยากให้คนนอนน้อยได้เห็นชัด ๆ ค่ะ โดยเมื่อเรานอนไม่พอบ่อย ๆ ร่างกายอาจเสี่ยงต่อการอักเสบที่บริเวณต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และใบบัวบกจะช่วยลดความเสี่ยงอาการอักเสบเหล่านี้เอง ฉะนั้นหากนอนน้อยมาหลายวัน จัดน้ำใบบัวบกคั้นสด ๆ สักแก้วสิคะ จะรออะไร


7. โปรตีนอย่าให้ขาด

          โดยเฉพาะในมื้อเช้าและเที่ยง สารอาหารที่ร่างกายควรได้รับต้องจัดหนักโปรตีนจากอาหารประเภทนม โฮลเกรน และวิตามินจากผักผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน และให้บรรดาวิตามินและเกลือแร่เข้าไปเสริมทัพการทำงานของระบบประสาทและสมอง

8. ถั่วชนิดต่าง ๆ

          ถั่วก็เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุค่อนข้างสูง อีกทั้งถั่วยังมีโพแทสเซียม ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมองด้วยนะคะ ในวันที่ร่างกายอ่อนล้าเพราะนอนไม่พอ ขอให้ถั่วได้เป็นของกินเล่นข้างกายคุณเถอ

          อาหารที่ควรต้องกินในวันที่นอนไม่พอก็ได้รู้กันไปแล้วว่าถ้านอนน้อยควรจะกินอะไรบำรุงร่างกายดี แต่ยังมีอาหารที่อยากให้เลี่ยงด้วยนะคะ เช่น อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตหนัก ๆ และของหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจากอาหารเหล่านี้จะยิ่งกล่อมให้เรารู้สึกง่วง อ่อนเพลีย จนไม่อยากลุกไปทำอะไรเลยล่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Livestrong
Medicaldaily


น้ำเต้าหู้ ประโยชน์เน้น ๆ เด่นที่เครื่อง



        น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ มีประโยชน์เน้น ๆ ในตัวเอง ส่วนเครื่องในน้ำเต้าหู้ก็เด่นไม่ใช่ย่อย

        เครื่องดื่มที่ได้ทั้งสุขภาพ และยังดื่มได้ในช่วงเทศกาลกินเจอย่างน้ำเต้าหู้ ใครก็รู้ว่ามีประโยชน์ช่วยเสริมโปรตีน แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกทั้งประโยชน์ของน้ำเต้าหู้ และประโยชน์ของธัญพืชที่ใส่มาเป็นเครื่องน้ำเต้าหู้อย่างละเอียดกัน

ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

        ถั่วเหลืองที่คั้นออกมาและต้มจนเป็นน้ำเต้าหู้ อุดมไปด้วยโปรตีน ที่คนแพ้นมวัวก็สามารถเลี่ยงมารับโปรตีนจากน้ำเต้าหู้ได้ อีกทั้งน้ำเต้าหู้ยังย่อยง่าย ไม่มีไขมัน ดื่มแล้วรู้สึกอิ่มแบบไม่แน่นท้อง รวมทั้งประโยชน์จากน้ำเต้าหู้ที่เรากำลังจะนำเสนอนี้ ถ้าได้รู้ก็คงไม่แปลกใจที่ใคร ๆ จะยกย่องให้น้ำเต้าหู้เป็นซูเปอร์ฟู้ด ว่าแล้วก็มาดูประโยชน์ของน้ำเต้าหู้กันเลย

1. มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่

        นมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และวิตามิน โดยเฉพาะปริมาณสารอาหารประเภทโปรตีนในนมถั่วเหลือง ซึ่งมีอยู่สูงเทียบเท่าเนื้อสัตว์เลยเชียวล่ะ

2. มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบทั้ง 10 ชนิด

        โปรตีนโกลบูลิน (Globulin) ที่พบในน้ำเต้าหู้ ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบทั้ง 10 ชนิด อีกทั้งยังเป็นโปรตีนชนิดที่ร่างกายดูดซึมได้ง่าย โดย 95% ของโปรตีนในน้ำเต้าหู้ ร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด

        นอกจากนี้งานวิจัยจาก Molecular Nutrition & Food Research ปี พ.ศ. 2554 ก็เผยว่า น้ำเต้าหู้ยังมีเลคซิติน (Lecithin), ไอโซฟลาโวน (Isoflavone), โอลิโก (Oligo) และไฟเบอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยชะลอความแก่ ช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมน อีกทั้งยังช่วยในการขับถ่าย และป้องกันโรคเบาหวาน ลดความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และบำรุงเส้นเลือดแดงด้วย

3. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

        องค์การอาหารและยา พร้อมทั้งสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา เผยว่า น้ำเต้าหู้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในอัตราส่วนที่สูง ซึ่งกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือดชั้นใน อันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงได้

4. แหล่งรวมวิตามิน

        โดยเฉพาะวิตามินบีรวม ไนอาซิน รวมทั้งวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และวิตามินซีในปริมาณเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเพียงดื่มน้ำเต้าหู้แค่ถุงเดียวก็กวาดเรียบทุกวิตามินเลยล่ะ อีกทั้งใครชอบดื่มน้ำเต้าหู้ทุกวัน ผิวพรรณและร่างกายจะแจ่มใส เพราะมีวิตามินเหล่านี้คอยช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วยนะ

5. บำรุงสมอง เพิ่มความจำ
        น้ำเต้าหู้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงาน แคลเซียม ฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงทั้งร่างกาย บำรุงสมอง และช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำได้

6. น้ำเต้าหู้ ลดความอ้วน
        น้ำเต้าหู้ มีแคลอรีอยู่ราว ๆ 75-200 กิโลแคลอรี ขึ้นอยู่กับความหวานและเครื่องที่ใส่ในน้ำเต้าหู้แต่ละแก้ว รวมทั้งในน้ำเต้าหู้ยังปราศจากคอเลสเตอรอล และมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว

        ฉะนั้นใครที่สงสัยว่ากินน้ำเต้าหู้แล้วอ้วนไหมก็คงต้องตอบตรงนี้เลยค่ะว่า หากคุณดื่มน้ำเต้าหู้แบบหวานน้อย ไม่ใส่เครื่อง หรือเน้นใส่เครื่องที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย รวมทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ ความอ้วนก็ไม่น่าจะมาเยือนแน่ ๆ


        ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้แน่นจริงอะไรจริงเห็นไหมคะ และหากยิ่งกินน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องด้วยสารพัดธัญพืชด้วยแล้วละก็ คุณประโยชน์ของเครื่องที่ใส่ในน้ำเต้าหู้แต่ละชนิด จะให้คุณค่าทางสารอาหารอะไรดี ๆ กับร่างกายเราได้ดังนี้เลย

1. ถั่วเหลือง

            ถั่วเหลืองไม่ว่าจะอยู่ในรูปน้ำเต้าหู้ หรือนำไปต้มสุกแล้วนำมาใส่เป็นเครื่องแบบนี้ คุณประโยชน์และสารอาหารในถั่วเหลืองก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนที่สูงเทียบเท่าเนื้อสัตว์ วิตามินสารพัดชนิด เกลือแร่ กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ไฟเบอร์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันชนิดไม่อิ่มตัว

2. ลูกเดือย
        ลูกเดือยมีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยบำรุงกำลัง บำรุงปอด ตับ ไต ม้าม มีสรรพคุณทางด้านขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้ปัญหาทางเดินหายใจ ไขข้อกระดูก บรรเทาอาการเหน็บชา แก้ชักกระตุก ลดอาการบวมน้ำ รักษาอาการปอดอ่อนแอและเป็นเลือด รักษาฝีที่ลำไส้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ

3. เม็ดแมงลัก

        ใครที่อยากลดความอ้วน อาจดื่มน้ำเต้าหู้ใส่เม็ดแมงลักก็ได้ เนื่องจากเม็ดแมงลักเป็นสมุนไพรที่ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย ช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลง เป็นยาระบายอ่อน ๆ ชนิดหนึ่ง อีกทั้งคุณสมบัติพองตัวได้ของเม็ดแมงลักยังช่วยให้รู้สึกอิ่ม ที่สำคัญเม็ดแมงลักยังปราศจากคอเลสเตอรอลอีกด้วยนะ

4. แปะก๊วย
        สมุนไพรจากเมืองจีนชนิดนี้นิยมนำมาใส่เป็นเครื่องน้ำเต้าหู้ด้วยเช่นกัน โดยแปะก๊วยสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันเซลล์จากอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย มีวิตามินและแร่ธาตุสูง แคลอรีต่ำ บำรุงสมอง เสริมสมรรถภาพทางเพศ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการ PMS ในผู้หญิงได้ด้วยล่ะค่ะสาว ๆ

5. ถั่วแดง

        อุดมไปด้วยโปรตีนและคุณค่าทางอาหารสูงไม่ต่างจากถั่วชนิดอื่น ๆ มีคุณสมบัติในการช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้

6. เม็ดบัว

        เม็ดบัวเป็นสมุนไพรที่ดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ เป็นยาบำรุงครรภ์ได้ดี และไม่พบโทษอันตรายจากการรับประทานเม็ดบัว

7. รากบัว
        ไม่ว่าจะรากบัวหรือเม็ดบัวก็มีคุณสมบัติในเรื่องช่วยบำรุงครรภ์ได้เช่นกัน อีกทั้งรากบัวยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ทว่าส่วนมากแล้วรากบัวจะมาในรูปอาหารเชื่อมน้ำตาลมาแล้ว ฉะนั้นก็ควรกินรากบัวแค่นิดหน่อยพอนะคะ

8. งาดำ

        งาดำเป็นธัญพืชตัวท็อป ๆ ที่บรรดาคนรักสุขภาพคุ้นเคยกันดี เพราะงาดำมีแคลเซียมสูง ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ มีกรดไขมันชนิดดีมาก บำรุงร่างกายได้หลายด้าน

9. แห้ว

        ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโดเผยว่า การบริโภคแร่ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 4.7 กรัมต่อวัน จะช่วยบำรุงระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้ทำงานเป็นปกติ แห้วจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะแห้วเพียง 1/2 ถ้วยตวง ก็อุดมไปด้วยโพแทสเซียมสูงถึง 360 มิลลิกรัมแล้ว ซึ่งก็เป็นจำนวนโพแทสเซียมในอัตราส่วน 1/3 ของปริมาณโพแทสเซียมที่ร่างควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว

10. เฉาก๊วย

        วุ้นดำ ๆ เคี้ยวแล้วหนึบหนับ เด้งดึ๋ง ซึ่งไม่เพียงแต่ทานแล้วจะช่วยดับกระหาย แก้ร้อนในเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีฤทธิ์ขับเสมหะ ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ก็ต้องเลือกกินเฉาก๊วยแท้ ๆ ไม่ผสมแป้งด้วยนะจ๊ะ

สูตรน้ำเต้าหู้
        ร่ายมาซะยาวถึงประโยชน์ของน้ำเต้าหู้และบรรดาเครื่องใส่น้ำเต้าหู้สารพัดอย่าง มาถึงตรงนี้หลายคนคงนึกอยากดื่มน้ำเต้าหู้กันแล้วใช่ไหมล่ะ งั้นมาลองดูสูตรน้ำเต้าหู้เหล่านี้เลยดีกว่า

          6 วิธีทำน้ำเต้าหู้ ศุตรโฮมเมดหลากรส ทำง่ายเพื่อสุขภาพ

          น้ำเต้าหู้งาดำ เครื่องดื่มสุขภาพอิ่มท้อง ต้อนรับเทศกาลกินเจ

          วิธีทำน้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง โฮมเมดสูตรเข้มข้น ทำดื่มเองดีกว่า ไม่เสียอารมณ์

          น้ำเต้าหู้ผสมมะนาว สูตรเด็ดคูณสอง ที่เขาว่าเป็นยาอายุวัฒนะ

          ทั้งนี้น้ำเต้าหู้ก็มีฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิง รวมทั้งยังให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหากดื่มเข้าไปมาก ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะฮอร์โมนเพศหญิงสูงเกินไป และอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ โดยเฉพาะหากเลือกดื่มน้ำเต้าหู้รสหวาน ใส่เครื่องประเภทแป้ง เช่น สาคูแถมยังมีปาท่องโก๋มันเยิ้ม หรือขนมปังทานแกล้มด้วย

          ดังนั้นทางที่ดีควรดื่มน้ำเต้าหู้เพียงวันละ 2 แก้วก็พอ รวมทั้งควรกินน้ำเต้าหู้หวานน้อย และหลีกเลี่ยงการรับประทานขนมปังหรือปาท่องโก๋ตัวเพิ่มน้ำหนักจะดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Livestrong, FITDAY, Kcal.Memo8.com, Huffington Post, Mommy Pedia

10 ผักผลไม้นี้อย่าปอกเปลือก ไม่อยากพลาดคุณค่าสุดเจ๋งต้องกินพร้อมเนื้อ


          เปลือกผักผลไม้ บางชนิดที่เราปอกทิ้ง ขอบอกให้ชัด ๆ ว่าที่จริงแล้วอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ไม่ลิ้มลองสักนิดจะเสียดาย
          เรามักจะคิดว่าผักผลไม้ที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้มีคุณประโยชน์อยู่ที่เนื้อในของผักผลไม้เท่านั้น และปอกเปลือกทิ้งเพราะกลัวเรื่องสารพิษตกค้าง โดยที่เราไม่ทราบว่าเราได้ทิ้งคุณค่าทางอาหารที่เผลอ ๆ จะมีมากกว่าเนื้อที่เรารับประทานกันเสียอีก อย่าให้คุณค่าเหล่านั้นเสียไปโดยที่เรายังไม่ทันได้รู้ถึงสิ่งดี ๆ ที่มีในเปลือกกันดีกว่า ลองไปดูคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณเด็ด ๆ ของเปลือกผักผลไม้ 10 ชนิดนี้ที่เราหยิบมาฝากกันค่ะ อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนใจหันมารับประทานเปลือกไปพร้อมกับ ๆ เนื้อกันมากขึ้นก็ได้นะ

แอปเปิล
         
          ใครที่ยังปอกเปลือกแอปเปิลก่อนรับประทานอยู่รีบเลิกทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วเปลือกแอปเปิลมีประโยชน์พอ ๆ กับเนื้อแอปเปิลเลยนะ ทั้งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ในประมาณครึ่งหนึ่งของไฟเบอร์ที่ได้รับจากแอปเปิลทั้งผล และสารฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารสำคัญในการดูแลสุขภาพหัวใจ โดยเจ้าสารฟลาโวนอยด์สามารถช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค และโพแทสเซียม ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง อย่ามัวแต่กลัวสารเคมีตกค้างในเปลือกกันเลยค่ะ ถ้าไม่มั่นใจในความสะอาดก็ล้างซ้ำหลาย ๆ ครั้งก่อนรับประทาน หรือแช่ด่างทับทิมจะดีกว่านะ จะได้ไม่สูญเสียคุณค่าทางอาหารโดยไม่จำเป็นจากการปอกเปลือกทิ้งค่ะ


เปลือกแตงโม

          ไม่ว่าจะเป็นตรงส่วนที่เป็นเนื้อขาว ๆ หรือตัวเปลือกสีเขียวของแตงโม ล้วนแต่เป็นส่วนที่ไม่ควรทิ้งอย่างยิ่ง แม้หลาย ๆ คนจะคิดว่าเป็นส่วนที่ไม่ควรรับประทานเพราะอาจจะมีสารเคมีตกค้าง ทั้ง ๆ ที่ส่วนของเปลือกอุดมไปด้วยไลโคปีน (Lycopene) เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) และซิทรูลีน (Citrulline) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่เช่นเดียวกับเนื้อแตงโม โดยซิทรูลีนนั้นมีฤทธิ์ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้



มะเขือม่วง

          เปลือกสีม่วงเข้มของมะเขือม่วง นอกจากจะช่วยเพิ่มสีสันในอาหารแล้วก็ยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่านาซูนิน หนึ่งในสารกลุ่มแอนโธไซยานินที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยในการทำงานของสมอง และสามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ ไม่เพียงเท่านั้น ในเปลือกมะเขือม่วงยังอุดมไปด้วยกรดคลอโรเจนิกที่สามารถช่วยป้องกันการอักเสบ และส่งเสริมความต้านทานต่อกลูโคสในร่างกาย ทำให้ความเสี่ยงโรคเบาหวานลดลง


แตงกวา

          ใครอยากมีสุขภาพผมและเล็บที่แข็งแรงฟังทางนี้ คราวหน้าที่รับประทานแตงกวาอย่าปอกเปลือกเป็นอันขาด เพราะเจ้าแตงกวาที่อยู่เป็นผักเคียงในอาหารจานต่าง ๆ นั้น บริเวณเปลือกเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุซิลิก้า (Silica) ซึ่งช่วยสร้างเสริมสุขภาพผมและเล็บให้แข็งแรงเงางาม ไม่เพียงเท่านั้น ส่วนเปลือกที่หลาย ๆ คนชอบคิดว่าขมน่ะจริง ๆ มีไฟเบอร์สูงไม่เบาเลย และใครที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่ายเปลือกแตงกวาก็ช่วยได้ค่ะ


แครอท

          อยากให้รู้ว่าคุณค่าทางอาหารแบบเน้น ๆ ของแครอทน่ะไม่ได้อยู่แค่ในเนื้อแครอทเท่านั้น ในส่วนของเปลือกเองก็มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย นับตั้งแต่เบต้าแคโรทีนที่ช่วยบำรุงสายตา และไฟเบอร์ที่ดีต่อลำไส้ อีกทั้งรสชาติก็ไม่แตกต่างจากเนื้อแครอทอีกด้วย คราวหน้าถ้านำแครอทมารับประทานก็ลองล้างให้สะอาดแล้วนำมาปรุงเลย หรือถ้าจะรับประทานสด ๆ ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่



มันฝรั่ง

          มันฝรั่งเป็นพืชอีกชนิดที่สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก แต่ก็ต้องนำไปทำให้สุกก่อนนะ โดยเปลือกมันฝรั่งนั้นเต็มไปด้วยไฟเบอร์ และสารอาหารอย่างวิตามินเค โพแทสเซียม ทองแดงและธาตุเหล็ก ยิ่งถ้านำมันฝรั่งมาทำมันบดทั้งเปลือกด้วยละก็ ก็ยิ่งทำให้ได้รสสัมผัสที่แปลกใหม่ยิ่งขึ้น 



กล้วย

          ถ้าพูดถึงเปลือกกล้วยหลาย ๆ คนก็อาจจะคุ้นเคยกันดีเพราะว่าในอาหารบางอย่าง เช่น แหนมเนือง ก็นำกล้วยดิบทั้งเปลือกมาฝานรับประทานเป็นเครื่องเคียง แต่ถ้าไม่ชอบรับประทานกล้วยดิบละก็ รับประทานเปลือกกล้วยตอนที่กล้วยสุกก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะเปลือกกล้วยนั้นก็มีคุณค่าทางอาหารทัดเทียมกับเนื้อกล้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 แมกนีเซียม และโพแทสเซียม อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ที่มีสูงกว่าในเนื้อกล้วย สามารถช่วยระบบขับถ่าย นอกจากนี้ในเปลือกกล้วยก็ยังมีสารทริปโตเฟน (Tyrptophan) ที่ช่วยสร้างเสริมสารเซโรโทนินในร่างกาย ส่งผลทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้าได้อีกด้วยล่ะ


















ส้ม มะนาว เลมอน

          อยากจะบอกว่าประโยชน์ลับ ๆ ของผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเหล่านี้ก็คือส่วนเปลือกมีวิตามินซีสูงกว่าเนื้อในถึง 2 เท่า ! แถมยังอุดมด้วยสารไรโบฟลาวิน วิตามินบี 6 แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม นอกจากนี้สารฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและต้านการอักเสบอีกด้วย วิธีรับประทานก็ไม่ต้องรับประทานสด ๆ ก็ได้ค่ะ เพราะถ้ารับประทานสด ๆ แล้วอาจจะทำให้รู้สึกขม ลองนำไปแปรรูปแบบอบแห้งหรือเชื่อมเอาไว้รับประทานเป็นของว่างก็ดีไม่หยอก หรือจะนำไปขูดละเอียดโรยบนสลัดก็ได้ประโยชน์ไม่ต่างกัน




ฟักทอง

          เปลือกฟักทองแข็ง ๆ อย่าเพิ่งคิดว่ารับประทานไม่ได้เชียวนะ เพราะเจ้าเปลือกฟักทองสีเขียว ๆ นั้นเมื่อนำไปทำให้สุกแล้วก็สามารถรับประทานได้เหมือนกับเนื้อฟักทองปกติ แถมยังมีสรรพคุณดี ๆ เยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต บำรุงอวัยวะต่าง ๆ และช่วยสร้างเสริมส่วนที่สึกหรอ เห็นไหมว่ารับประทานเปลือกเข้าไปด้วยก็ได้ประโยชน์เพิ่มอีกเยอะเลย


หัวบีท

          หัวบีท ซูเปอร์ฟู้ดอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรพลาด การปอกเปลือกทิ้งไปเป็นความคิดที่ผิดเลยล่ะ เนื่องจากในเปลือกของหัวบีทมีคุณค่าทางอาหารมากมายอย่างวิตามินเอ ซึ่งมีสูงเป็นสองเท่าของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินบี 6 แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม และธาตุเหล็ก ของดี ๆ ทั้งนั้น ทิ้งไปล่ะเสียดายแย่

          มีแต่ประโยชน์ดี ๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ ใครที่ไม่เคยจะรับประทานเปลือกของผักผลไม้เหล่านี้ก็ไม่ต้องเสียดายค่ะ คราวหน้าก็ลองรับประทานแบบทั้งเปลือกดู แม้เปลือกของผักผลไม้บางชนิดอาจจะขมไปนิด แต่เพื่อประโยชน์ที่มากกว่าก็คุ้มนะเออ อ้อ ! แล้วก็อย่าลืมล้างให้สะอาดนะ จะได้ไม่เจอกับสารพิษตกค้างในเปลือกผักผลไม้มาก่อกวนสร้างปัญหาสุขภาพในอนาคต


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
stack.com
dontmesswithmama.com
livelovefruit.com
foods4betterhealth.com
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรปราการ



หน้าบวม เกิดจากอะไร รู้สาเหตุไว้ก็รักษาได้ถูกทาง



          อาการบวม เกิดที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็ว่าเครียดพอตัวแล้ว ยิ่งถ้ามาเกิดบนใบหน้าอีกละก็ ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่ แบบนี้ต้องรีบหาสาเหตุ

          หลายคนอาจจะคิดว่าหน้าบวมเกิดจากอาการพื้น ๆ อย่างอาการบวมน้ำ ซึ่งอยากให้รู้กันไว้เลยว่าไม่ใช่แค่อาการบวมน้ำเท่านั้น แต่อาจเกิดได้จากการป่วยด้วยโรคบางอย่าง หากละเลยอาจจะทำให้ล่วงรู้อาการป่วยช้าเกินไปจนบางครั้งก็สายเกินแก้ ถ้าไม่อยากเจอกับปัญหาสุขภาพที่น่าหนักใจ ต้องมาเรียนรู้สัญญาณสุขภาพจากอาการหน้าบวม พ่วงด้วยวิธีลดหน้าบวมที่รับรองว่าได้ผลดีแบบไม่เจ็บตัวอีกด้วย
          อาการหน้าบวม เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากของเหลวต่าง ๆ ไหลกลับเข้าไปอยู่ในเซลล์เนื้อเยื่อบนใบหน้า ทำให้เซลล์เกิดการบวมน้ำหรือเกิดการอักเสบขึ้นที่เนื้อเยื่อบริเวณใบหน้า อาการบวมนี้สามารถเป็นได้ทุกส่วนบนใบหน้า แต่จะสังเกตได้ชัดเจนที่บริเวณริมฝีปาก แก้ม และขอบตา และยังสามารถลุกลามลงมายังบริเวณคอได้อีกด้วย ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจว่าอาการบวมนั้นจะเป็นอาการบวมน้ำเพียงอย่างเดียว ทั้งที่จริงแล้วยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใบหน้าค่ะ



หน้าบวมเกิดจากอะไร ?

          อาการหน้าบวมแม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีอันตรายอะไรมากนัก แต่ขอบอกว่าอาการนี้มีสาเหตุค่ะ ซึ่งก็อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพบางอย่าง หรือเป็นอาการของโรคที่ร้ายแรงได้ โดยอาการหน้าบวมนั้นมีสาเหตุอยู่ 11 สาเหตุใหญ่ ๆ ดังนี้

1. การบวมน้ำ

          อาการบวมน้ำนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากเป็นภาวะที่ร่างกายรักษาสมดุลของน้ำร่างกาย ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารรสจัด นอกจากนี้ก็ยังอาจจะเกิดจากโรคอย่างเช่น โรคไต โรคตับ หรือภาวะหัวใจล้มเหลวอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยจึงจะตัดสินได้ค่ะ

2. โรคอ้วน

          โรคอ้วนคือ ภาวะการมีน้ำหนักตัวและมีค่าดัชนีมวลกายสูงกว่า 30 ขึ้นไป ซึ่งเมื่อมีน้ำหนักมากก็จะทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใบหน้าได้ โรคอ้วนมีสาเหตุได้ทั้งจากโรคบางชนิด หรือนิสัยการรับประทานอาหาร รวมทั้งไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดี และออกกำลังกายน้อย ซึ่งถ้ามาจากสาเหตุนี้อาการหน้าบวมจะไม่อันตรายนัก และอาการจะหายไปก็ต่อเมื่อน้ำหนักลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ

3. การอักเสบที่เกิดจากเซลลูไลท์
          ศัตรูตัวฉกาจของคุณสาว ๆ อย่างเซลล์ลูไลท์เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของอาการหน้าบวมได้ เนื่องจากเซลล์ลูไลท์คือไขมันใต้ผิวหนังซึ่งทำให้เกิดอาการนูนบวมของผิว และในบางครั้งก็ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย และถ้าหากเกิดการติดเชื้อก็จะทำให้เกิดอาการใบหน้าบวม แต่อาการบวมที่เกิดจากสาเหตุนี้จะปรากฏอาการอื่น ๆ ให้เห็นร่วมด้วย ได้แก่ บริเวณที่บวมจะมีสีแดง จับแล้วจะรู้สึกอุ่น ๆ ทั้งนี้อาการอักเสบสามารถเกิดได้จากการอักเสบที่มาจากการติดเชื้อที่รากฟัน การติดเชื้อของเนื้อเยื่อบริเวณรอบดวงตาจนทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบ หรือแม้แต่เกิดการลุกลามของโรคไซนัสอักเสบด้วยค่ะ

4.  อาการแพ้

          อาการแพ้บางชนิดสามารถทำให้หน้าบวมได้ เนื่องจากอาการบวมเป็นหนึ่งในอาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งมีสาเหตุได้จากหลาย ๆ อย่าง นอกจากนี้อาการบวมของใบหน้าทีเกิดจากการแพ้จะมีผื่นลมพิษ อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือ จาม ร่วมด้วย แต่ควรต้องระวังให้ดี เพราะอาการแพ้สามารถทวีความรุนแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน


5. โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง

          โรคภูมิแพ้ชนิดร้ายแรง เป็นอาการแพ้ที่มีความรุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วลิสง อาหารทะเล เหล็กในของผึ้ง ยาแอสไพริน หรือยาปฏิชีวนะ โดยอาการหน้าบวมนั้นถือเป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายร่วมกับการหายใจถี่ เกิดผื่นคัน ปวดท้อง เกิดอาการสับสนมึนงง และอาการไอ ดังนั้นหากมีอาการหน้าบวมและมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์หรือรับประทานยาแก้แพ้โดยด่วนเลย

6. โรคตาแดง

          โรคตาแดง เป็นอาการอักเสบหรือติดเชื้อที่เกิดในเยื่อหุ้มเซลล์และเยื่อบุเปลือกตา ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณเปลือกตาและอาจลุกลามจนบวมไปทั้งใบหน้าได้ อย่างไรก็ตาม โรคตาแดงไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น แต่การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด หรือการสัมผัสกับสารเคมีบางชนิดก็สามารถทำให้ตาแดงได้

7. คางทูม

          อาการติดเชื้อไวรัสอย่างคางทูมเป็นโรคที่จะมีอาการบวมบริเวณลำคออย่างเห็นได้ชัด และในบางครั้งก็ลุกลามมาที่บริเวณแก้มอีกด้วย โดยอาการนี้จะเกิดที่บริเวณต่อมน้ำลายทั้งสองข้าง ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยล้าง่าย มีไข้สูง และไม่ค่อยหิวน้ำ ดังนั้น หากเริ่มมีอาการบวมที่ลำคอบริเวณใต้ติ่งหูละก็ สันนิษฐานได้เลยว่าคุณอาจจะเป็นคางทูมเข้าแล้ว

8. ไซนัสอักเสบ

          ไซนัสอักเสบเป็นอาการติดเชื้อที่เกิดขึ้นบริเวณช่องว่างภายในกระดูกและบริเวณรอบ ๆ จมูกซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการบวมและปวดอย่างรุนแรง รวมทั้งจะมีความดันบริเวณรอบดวงตาและกระดูกแก้มมากขึ้น แต่ก็จะไม่ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใบหน้ามากนัก ไซนัสอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน โดยอาการจะเริ่มต้นจากปวดหัวและติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาค่ะ



9. ลมพิษ


          หากมีอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แขนขา ใบหน้า ดวงตา หรือเปลือกตา และยังปรากฏผื่นแดงร่วมด้วย ก็เป็นไปได้ว่าอาการบวมนี้เกิดจากลมพิษ โดยโรคลมพิษนี้อาจเกิดจากอาการแพ้ทั่วไป หรือเป็นอาการที่ถ่ายทอดกันมาทางพันธุกรรมก็ได้ ไม่เพียงเท่านั้น อาการเจ็บป่วยด้วยโรคอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันก็ทำให้เป็นโรคลมพิษได้เช่นกัน

10. คุชชิงซินโดรม

          โรคคุชชิงซินโดรมเป็นความผิดปกติของร่างกายที่ผลิตสารคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดมากเกินไป โดยเกิดได้ทั้งในกลุ่มวัยรุ่นและวัยกลางคน  สาเหตุอาจเกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อันเนื่องมาจากการรักษาโรครูมาตอยด์ และอาจเกิดจากการมีเนื้องอกเกิดขึ้นที่ต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง ซึ่งโรคคุชชิงซินโดรมจะก่อให้เกิดอาการบวมที่บริเวณใบหน้าและทำให้ผิวหน้าไม่เรียบ เกิดการสะสมไขมันที่มากผิดปกติในร่างกายส่วนบน


11. โรคไทรอยด์

          ต่อมไทรอยด์ คือต่อมที่คอยผลิตฮอร์โมนที่ใช้ในการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นมาก็อาจจะทำให้เกิดอาการบวมของใบหน้าได้ เนื่องจากต่อมไทรอยด์จะอยู่บริเวณส่วนด้านหน้าของลำคอนั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็จะต้องมีอาการของโรคไทรอยด์อื่น ๆ ร่วมด้วย  อาทิ น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว หรือมีอาการบวมตามมือและเท้า ดังนั้นหากมีอาการหน้าบวมละก็ ควรสำรวจความผิดปกติของร่างกายด้วยเพื่อที่จะไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที


หน้าบวมทำอย่างไรดี ลดหน้าบวมได้ด้วยวิธีแบบนี้

          วิธีลดหน้าบวมที่ดีที่สุดคือการสังเกตอาการให้ชัดเจนก่อนว่ามีสาเหตุมาจากอะไร หากเป็นเพียงแค่การบวมน้ำที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราก็แค่เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอาการบวม หากเกิดจากอาการแพ้ทั่วไปก็ควรรับประทานยา แต่ถ้าหากนอกเหนือจากนั้นละก็ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะหากเกิดอาการหน้าบวมร่วมกับอาการหายใจถี่ หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ควรรีบเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉินมา เพราะหากรักษาไม่ทันการณ์อาจะเสียชีวิตได้

          หน้าบวม ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ตราบใดที่เรารู้เท่าทันสุขภาพของตนเอง เพราะเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวเองอย่างที่คิด หากเรารู้รักษาตัวเอง และหมั่นสังเกตสุขภาพของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าไม่มีอาการผิดปกติใดมาทำให้คุณลำบากใจได้แน่นอน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
healthline
thehealthsite
healthgrades


อาการมะเร็งเต้านมระยะต่าง ๆ ที่ผู้หญิงควรรู้ไว้



          มะเร็งเต้านม โรคร้ายที่พบในเพศหญิงติดอันดับต้น ๆ วันนี้จะพามาเรียนรู้อาการมะเร็งเต้านมระยะต่าง ๆ กัน

          มะเร็งเต้านม หนึ่งในโรคมะเร็งที่เกิดเป็นผู้หญิงก็พึงต้องระวังไว้ เพราะเราอาจมีความเสี่ยงโรคนี้อยู่หรือไม่มีก็ได้ ทว่านอกจากวิธีป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็งเต้านมแล้ว วันนี้เราอยากแนะนำให้ผู้หญิงทุกท่านมาศึกษาอาการของโรคมะเร็งเต้านมระยะต่าง ๆ เอาไว้ก่อน แล้วมาดูกันค่ะว่า อาการโรคมะเร็งระยะที่ 1, 2, 3 และ 4 มีความรุนแรงของโรคประมาณไหน และการรักษามะเร็งแต่ละระยะต้องทำอย่างไร รวมถึงวิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคมะเร็งเต้านมด้วย
 

อาการมะเร็งเต้านมระยะที่ 1

          มะเร็งเต้านมระยะที่ 1 นับเป็นอาการมะเร็งเต้านมในระยะก่อนลุกลาม  ก้อนมะเร็งจะมีขนาดเล็กกว่า 2 เซนติเมตร และยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้

การรักษามะเร็งเต้านมระยะที่ 1

          มะเร็งเต้านมในระยะนี้ แพทย์อาจพิจารณาจากแนวโน้มอาการ โดยเฝ้าสังเกตการลุกลามของก้อนมะเร็งด้วยการทำแมมโมแกรมเป็นระยะ ๆ ซึ่งหากพบว่าก้อนมะเร็งเริ่มลุกลามแล้ว กรณีนี้แพทย์อาจรักษาด้วยการตัดเอารอยโรคที่เป็นเนื้อร้ายออกอย่างเดียว (Excision) หรือตัดรอยโรคออกไปร่วมกับการฉายแสงรักษาเฉพาะบริเวณรอยโรค (Breast conservative treatment) หรือในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูง แพทย์อาจตัดเต้านมทั้งข้างออกไปเลย


อาการมะเร็งเต้านมในระยะที่ 2

          ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 เซนติเมตร และ/หรือมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน

การรักษามะเร็งเต้านมระยะที่ 2

          ในระยะที่เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายมายังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ การรักษาอาจทำได้ 2 วิธี คือ ตัดรอยโรคออกไปร่วมกับการฉายแสงรักษาเฉพาะบริเวณรอยโรค (Breast conservative treatment) นอกจากนี้ยังต้องตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับผลกระทบมาสุ่มตรวจ เพื่อประเมินการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เพราะหากพบว่ามีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้จริง แพทย์จะพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยเป็นเวลา 6 เดือน

          วิธีรักษาอีกวิธีหนึ่งสำหรับมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ทำได้ด้วยวิธี Modified Radical Mastectomy (MRM) คือ การผ่าตัดเอาเต้านม และต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ออก หากพบว่าเซลล์มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว ซึ่งอาจจำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยนาน 6 เดือน หรือหากเคสผู้ป่วยหมดประจำเดือนแล้ว อาจมีการให้ยา Tamoxifen อย่างน้อย 5 ปี ถ้าผล ER เป็นบวก

อาการมะเร็งเต้านมระยะที่ 3

          ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันอย่างลุกลาม จนทำให้ก้อนน้ำเหลืองที่ถูกเซลล์มะเร็งกินรวมตัวติดกันเป็นก้อนใหญ่ หรือติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียง

การรักษามะเร็งเต้านมระยะที่ 3

          เมื่อวินิจฉัยระยะของโรคแล้วพบว่าอยู่ในระยะที่ 3 การรักษาอาจต้องเริ่มต้นด้วยการให้ยาบำบัดเคมี หรือให้ยาต้านฮอร์โมนในผู้ป่วยบางคน เพื่อควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามมากขึ้น และลดขนาดของก้อนมะเร็งให้มีขนาดเล็กลงจนสามารถผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกไปจากร่างกายได้โดยไม่ลำบากมากนัก
   
          ทั้งนี้การรักษาอาจมีการให้ยาได้ 2 แนวทาง ซึ่งก็คือ ให้ยาทำลายเซลล์มะเร็งจนเหลือขนาดเล็ก ก่อนทำการผ่าตัด แล้วให้ยาต่ออีกหลังจากผ่าตัดจนครบกำหนด หรือในกรณีที่ให้ยาไปจนครบกำหนดแล้วจึงผ่าตัดเนื้อร้ายออกไปในคราวเดียว



อาการมะเร็งเต้านมระยะที่ 4

          ระยะนี้จะพบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดโตเท่าไรก็ได้ แต่จุดสังเกตอยู่ที่การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น กระดูก ปอด ตับ หรือสมอง เป็นต้น

การรักษามะเร็งเต้านมระยะที่ 4

          เนื่องจากเป็นระยะที่มีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ การผ่าตัดจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะแม้จะตัดเต้านมที่เป็นเนื้อร้ายออกไปแล้ว การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งก็ยังคงอยู่ ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่ก็เพื่อลดอาการแทรกซ้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการปรึกษาแนวทางรักษาอาการร่วมกันระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และญาติ

          ทั้งนี้ระหว่างการรักษาแพทย์อาจจะให้ยาฮอร์โมน และ/หรือให้ยาเคมีบำบัด โดยอาจมีการพิจารณาให้ยา Trastuzumab ร่วมด้วย หรือให้ยา Tyrosine kinase inhibitors ร่วมกับยาเคมีบำบัดแบบรับประทาน (Capecitabine) หรือแพทย์อาจรักษาด้วยการฉายแสง และ/หรือการผ่าตัดเพื่อลดอาการปวดและอาการอื่น ๆ หรือวิธีรักษาแบบ Bisphosphonate เพื่อลดอาการปวดจากการที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังกระดูกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำได้

          อย่างไรก็ดี การรักษามะเร็งเต้านม สามารถทำได้ทั้งการผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด การให้ยาต้านฮอร์โมน รวมทั้งการรักษาที่มีการออกฤทธิ์จำเพาะ แต่โดยปกติแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาตามลำดับความเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด โดยคำนึงถึงวัย ภาวะประจำเดือน สุขภาพทั่วไป ขนาดของเซลล์มะเร็ง ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รวมทั้งระยะของมะเร็งเต้านมที่ผู้ป่วยแต่ละรายเป็นอยู่ เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละราย มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ทำให้การรักษาย่อมมีความแตกต่างกันตามไปด้วย ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้การรักษาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน หรือปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาแนวทางรักษาที่เหมาะกับอาการป่วยของตัวเองให้มากที่สุด


การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม


          มะเร็งเต้านมมีโอกาสที่จะเกิดซ้ำได้อีก หรืออาจมีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย ดังนั้นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่แม้จะทำการรักษาไปแล้วก็ควรจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคอยติดตามการแพร่กระจายหรือการหลงเหลือของเซลล์มะเร็งในร่างกาย
   
          นอกจากนี้ก็ผู้ป่วยเองก็ควรตรวจเต้านม (ดูวิธีตรวจเต้านมด้วยตัวเอง) ข้างที่ยังไม่เป็น เป็นประจำทุกเดือน โดยหากยังมีประจำเดือนอยู่ก็ควรตรวจประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากประจำเดือนหมด หรือหากประจำเดือนหมดแล้วอาจกำหนดวันตรวจเต้านมประจำเดือน โดยกำหนดวันเอาเองเลยก็ได้
   
          ทั้งนี้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในระยะแพร่กระจาย ที่เซลล์มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เคสนี้ควรได้รับการตรวจเลือดและตรวจสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อตรวจดูการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ว่ายังทำงานเป็นปกติหรือไม่

          มะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยโอกาสจะหายขาดจากโรคนี้จะยิ่งมากขึ้นหากคุณผู้หญิงพบความผิดปกติของเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ดังนั้นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลยก็คือการสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเอง โดยเฉพาะการตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ควรทำสุด ๆ เลยนะคะ และหากพบความผิดปกติของเต้านมแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าได้นิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยจะดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Wholly Medical
Thai Breast Cancer

ไมเกรน ปวดหัวเรื้อรังต้องระวัง ยังเสี่ยงเกิดโรคแบบนี้ด้วย


          อาการไมเกรน นอกจากจะมีอาการปวดหัวเรื้อรังน่าเบื่อแล้ว รู้หรือไม่ว่าไมเกรนยังทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือแม้แต่อาการซึมเศร้า

          โรคไมเกรน เห็นว่าเป็นแค่อาการปวดหัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะนอกจากจะเป็นอาการที่เรื้อรังจนต้องทำให้รับประทานยาติดต่อกันนาน ๆ แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างมากเลยเชียวล่ะ ปวดขึ้นมาแต่ละทีก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่หารู้ไม่ว่าไม่ได้มีแค่อาการปวดที่ต้องกังวล เพราะมีการศึกษาพบว่าอาการไมเกรนนั้นสามารถส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อีกเยอะเลย อย่างที่หยิบมาเล่าให้ฟังกันคราวนี้

1. อาการแฮงก์สุดรุนแรง

          การศึกษาในปี 2014 พบว่า ผู้ที่ถูกคุกคามด้วยอาการไมเกรนนั้นจะมีอาการแฮงก์ที่รุนแรงกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่าง ไวน์เแดง ที่มีสาร ฮีสตามีน (Histamines) และซัลไฟต์ (Sulfites) ที่จะยิ่งกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้น ดังนั้นผู้ที่มีอาการของไมเกรนควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จะดีกว่า หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ นายแพทย์ Richard Kraig ผู้อำนวยการคลินิกรักษาโรคไมเกรนแห่งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยชิคาโกก็แนะนำว่าควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสีใส ๆ อย่าง วอดก้า จะช่วยให้อาการแฮงก์ไม่รุนแรงมากเท่าที่ควรจะเป็นค่ะ



2. อาการไมเกรนที่หนักขึ้น

          นายแพทย์ Kraig กล่าวว่า อาการไมเกรนสามารถทำให้เกิดอาการปวดที่มากขึ้นได้ เพราะผู้ที่ป่วยด้วยโรคไมเกรนมีโอกาสที่สมองจะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้นกว่าปกติ การกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดที่รุนแรงได้ อาทิ การอดอาหาร การดื่มกาแฟ หรือแม้แต่การพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นหากไม่อยากให้อาการปวดหัวรุนแรงกว่าเดิมก็ควรจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการกระตุ้นอาการปวดหัวค่ะ

3. โรคหลอดเลือดสมอง

          หนึ่งในสามของผู้ป่วยโรคไมเกรนมักจะมีอาการที่ใกล้เคียงกับหลอดเลือดสมองพ่วงมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นแสงแสงวูบวาบ หรือเป็นเหน็บชาที่บริเวณใบหน้าหรือที่มือ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35-45 ปีขึ้นไป เนื่องจากว่าผู้หญิงในวัยนี้มีแนวโน้มจะเกิดภาวะการแข็งตัวของเลือดได้มากขึ้น นอกจากนี้การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมน และการสูบบุหรี่ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการแข็งตัวของเลือดอีกด้วย ดังนั้นคุณผู้หญิงที่มีอาการไมเกรนนั้นควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาคุมกำเนิดและยาฮอร์โมนทุกชนิดเพื่อให้ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองลดลงจะดีกว่าค่ะ

4. โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Facial Paralysis)
          การศึกษาเมื่อปี 2014 ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์อย่าง American Academy of Neurology พบว่าโรคไมเกรนสามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกได้มากกว่าผู้ป่วยโรคอื่น ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ถึง 2 เท่า เนื่องจากอาการปวดหัวนั้นเป็นหนึ่งในอาการที่แสดงออกได้ชัดเจนที่สุดของปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทค่ะ


5. โรคซึมเศร้า

          โรคไมเกรนเป็นอาการปวดหัวที่มักจะเกิดกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต อย่างโรคไพโบลาร์และโรคซึมเศร้าด้วย เนื่องจากผู้ป่วยทั้งสองจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะสมองไวต่อสิ่งกระตุ้น และเมื่อเกิดอาการปวดหัวขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เกิดอาการซึมเศร้ามากขึ้น แม้ว่าจะไม่มีผลการวิจัยชี้ชัดว่าการปวดหัวไมเกรนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้าได้ แต่ว่าก็ไม่ควรจะละเลย ดังนั้นหากรู้ตัวว่าเป็นไมเกรนก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ควรทำงานหักโหมจนเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เท่านี้ก็สามารถช่วยให้อาการไมเกรนไม่เข้ามาเป็นปัญหาใหญ่ของสุขภาพแล้วค่ะ

6. ปัญหาสุขภาพหัวใจ

          นอกจากโรคหลอดเลือดสมองแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่โรคไมเกรนจะพามาเยี่ยมเยียนคือโรคเกี่ยวกับหัวใจนี่ล่ะค่ะ มีการศึกษาหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Neurology พบว่าผู้ป่วยโรคไมเกรนนั้นมีความเสี่ยงโรคหัวใจสูงขึ้นกว่าคนทั่วไป ยิ่งถ้าหากเป็นคนที่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และใช้ยาคุมกำเนิดด้วยแล้วละก็ จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้การใช้ยา Triptans ในการรักษาโรคไมเกรนก็อาจจะเพิ่มความเสี่ยงปัญหาเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน เพราะยาชนิดนี้จะเข้าไปจำกัดการไหลเวียนของเลือดในสมองรวมทั้งหัวใจ ฉะนั้นควรใช้ยาชนิดนี้ตามเท่าที่แพทย์สั่งเท่านั้นค่ะ 


7. โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Fibromyalgia)


          ผู้ป่วยโรคไมเกรนกว่าครึ่งมักจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Fibromyalgia) โดยมีการวิจัยในวารสารวิชาการ Headache พบว่าอาการทั้งสองก็มีต้นตอของอาการคล้ายคลึงกัน ดังนั้นผู้เป็นโรคไมเกรนอาจจะเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังได้ทุกเมื่อ จึงควรหมั่นสังเกตอาการอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่จะเกิดอาการปวดที่รุนแรงและสร้างความลำบากให้กับผู้ป่วยค่ะ

          ไมเกรน แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายได้สนิท แต่ถ้าหากเรามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพก็จะช่วยให้อาการสงบลงได้ และไม่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องให้เหนื่อยใจ ใครที่เป็นโรคไมเกรนก็อย่ากังวลกับอาการปวดหัวไมเกรนมากจนเกินไปนะ ทำใจให้สบายดีกว่าอาการจะได้ไม่รุนแรงค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Prevention.com
AMERICAN ACADEMY OF NEUROLOGY


โรคมือเท้าปาก กับ 12 คำถามชวนสงสัยที่ควรรู้คำตอบ


          โรคมือเท้าปาก ที่ระบาดมากในช่วงฤดูฝน และล่าสุดยังมีโรคมือเท้าปากสายพันธุ์เอนเทอโรไวรัส (EV) 71 ที่ทำให้อาการทรุดเร็ว เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่วัน อย่างนี้ต้องมารู้จักโรคมือเท้าปากให้มากขึ้น


          จากข่าวโรคมือเท้าปาก ระบาด และทำให้เด็กเสียชีวิตได้ภายใน 3 วัน น่าจะทำให้ผู้ปกครองเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับโรคมือเท้าปากกันมากขึ้นทุกขณะ เนื่องจากเกรงว่าโรคมือเท้าปากจะเกิดขึ้นกับลูกหลานเราได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเชื่อไหมคะว่าเรายังอาจรู้จักโรคนี้กันไม่มากพอ หรือบางคนก็อาจมีคำถามเกี่ยวกับโรคมือเท้าปากเต็มไปหมด ถ้าอย่างนั้นเรามาไขข้อข้องใจโรคมือเท้าปากให้ชัด ๆ ตรงนี้กันเลย


โรคมือเท้าปาก กับโรคปากเท้าเปื่อย แตกต่างกันอย่างไร
          โรคมือเท้าปากกับโรคปากเท้าเปื่อยเป็นคนละโรคกันนะคะ โดยโรคมือเท้าปาก (Hand Foot and Mouth Disease) เป็นโรคที่พบเฉพาะในคน และติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น ส่วนโรคปากเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease) หรือโรคมือเท้าปากเปื่อยที่หลายคนเข้าใจผิดกัน จริง ๆ แล้วเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสตัวอื่น และจะติดต่อกับสัตว์กีบ เช่น โค กระบือ แพะ แกะ หมู เป็นต้น โดยสัตว์จะมีแผลเปื่อยที่ปากและกีบเท้า ที่สำคัญเชื้อไวรัสโรคปากเท้าเปื่อยยังไม่สามารถแพร่มาถึงคนได้ค่ะ
โรคมือเท้าปาก สาเหตุเกิดจากอะไร

          สาเหตุโรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) หรือเชื้อไวรัสลำไส้ โดยเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปากได้ก็มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่เชื้อที่รุนแรงที่สุดคือ เอนเทอโรไวรัส 71 หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเชื้อ EV 71 โดยโรคมือเท้าปากจริง ๆ แล้วเกิดขึ้นประปรายตลอดปี แต่จะระบาดมากในช่วงหน้าฝน ซึ่งมักมีอากาศเย็นและชื้น
   
อะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปาก

          ปัจจัยที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคมือเท้าปาก อาจเกิดจากความแออัดในพื้นที่ การถ่ายเทอากาศที่ไม่ดี รวมทั้งสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง ดังนั้นเราควรสร้างสุขอนามัยที่ดีในพื้นที่อาศัย โดยเฉพาะในโรงเรียนด้วยนะคะ

โรคมือเท้าปากในเด็ก ติดต่อกันได้ทางไหน

          โรคมือเท้าปากมักพบในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ซึ่งการติดต่อของโรคก็ติดกันได้ง่ายมาก เพียงสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ ร่วมกัน จามใส่กัน หรือไปสัมผัสกับอุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็สามารถติดเชื้อไวรัสได้แล้ว ดังนั้นหากสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก หรือโรงเรียนอนุบาลแห่งไหนมีเด็กป่วยด้วยโรคมือเท้าปาก ก็ควรรีบดำเนินการควบคุมโรคทันที


อาการโรคมือเท้าปาก เริ่มแรกสังเกตได้จากสัญญาณไหน

          อาการโรคมือเท้าปาก เริ่มแรกอาจไม่ค่อยรุนแรงมาก โดยอาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปากอาจสังเกตได้จากอาการเหล่านี้

          มีไข้
          เจ็บปาก กินอะไรไม่ค่อยได้
          น้ำลายไหล
          มีแผลในปากคล้ายแผลร้อนใน
          มีผื่นเป็นจุดแดง หรือตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือตุ่มอาจขึ้นตามลำตัว แขน และขาได้
          อาการจะหนักในช่วง 2-3 วันแรก หลังจากนั้นอาการป่วยจะทุเลา และหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
   

          ทั้งนี้อาการโรคมือเท้าปากโดยทั่วไปจะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา ทว่าอาจมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงหรือโรคแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะหากผู้ป่วยติดเชื้อ EV 71 หรือมีภูมิต้านทานต่อโรคค่อนข้างต่ำ ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่ว่าอาจทำให้เกิดอาการก้านสมองอักเสบ ก่อให้เกิดภาวะระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

          โดยจุดสังเกตสัญญาณอันตรายจากเชื้อ EV 71 ได้แก่

          ซึม อ่อนแรง
          ชักกระตุก
          มือสั่น
          เดินเซ
          หอบ
          อาเจียน

   
          ซึ่งหากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน

การรักษาโรคมือเท้าปาก ทำได้อย่างไร
   
          โรคมือเท้าปากยังไม่มียาต้านไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะ การรักษาจึงทำได้เพียงบรรเทาตามอาการของผู้ป่วยไป เช่น การให้ยาลดไข้และยาแก้ปวด ซึ่งโดยทั่วไปอาการของโรคจะไม่รุนแรงและหายป่วยได้เองภายใน 7-10 วัน
   
การดูแลผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ต้องทำอย่างไร

          หากมีเด็กในปกครองป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ผู้ปกครองควรหมั่นเช็ดตัวผู้ป่วยเพื่อลดไข้เป็นระยะ และให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำ หรือน้ำผลไม้ รวมทั้งให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้มาก ๆ และหากผู้ป่วยเป็นเด็กอ่อน อาจต้องป้อนนมให้เด็กแทนการให้เด็กดูดนม เพื่อลดอาการปวดแผลในปาก
   
          อย่างไรก็ตาม แม้โดยมากแล้วอาการของโรคมือเท้าปากจะไม่รุนแรงและหายเองได้ แต่ผู้ปกครองควรใส่ใจอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยหากพบว่ามีไข้สูง ซึม เบื่ออาหาร อาเจียนบ่อย หอบ อ่อนแรง และชัก ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะผู้ป่วยอาจเกิดอาการแทรกซ้อนจากภาวะสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กและเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เด็กที่ติดเชื้อ HIV เด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว รวมทั้งเด็กที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น



วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก ต้องทำอะไรบ้าง

          แยกผู้ป่วยที่เป็นโรค เพื่อป้องกันเด็กป่วยไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น

          เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนควรหมั่นล้างมือเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
   
          หมั่นทำความสะอาดของเล่น ของใช้ของเด็กทุกชิ้น โดยการทำความสะอาดด้วยสบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาชะล้างทำความสะอาดทั่วไป หลังจากนั้นควรเช็ดอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ให้แห้งสนิท
   
          ระมัดระวังสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม อาหาร รวมทั้งของใช้ทุก ๆ อย่างที่เด็กอาจหยิบเข้าปากได้
   
          ไม่ควรให้เด็กเล่นของเล่น หรือใช้ของที่ปนเปื้อนน้ำลาย หากเป็นไปได้ไม่ควรให้เด็กใช้ของใช้ร่วมกัน
   
          ควรสอนให้เด็ก ๆ ฝึกนิสัยกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
   
          ทางโรงเรียนไม่ควรให้เด็กที่ป่วยโรคมือเท้าปากมาโรงเรียนจนกว่าจะหายเป็นปกติดี ซึ่งส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
   
          ผู้ปกครองไม่ควรให้บุตรหลานที่ป่วยไปโรงเรียนจนกว่าจะรักษาอาการจนหายสนิท เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
   
          ควรระวังการปนเปื้อนของเชื้อในอุจจาระต่ออีกนาน เนื่องจากเชื้อยังคงหลงเหลืออยู่ในอุจจาระได้อีกนานหลายสัปดาห์ ดังนั้นควรล้างมือหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือดูแลบุตรหลานให้ทำความสะอาดห้องน้ำและล้างมือหลังทำธุระเสร็จเรียบร้อยด้วยสบู่ เนื่องจากการใช้เจลทำความสะอาดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอนเทอโรไวรัสได้
   
          ในช่วงที่มีการระบาดของโรค ไม่ควรปล่อยให้บุตรหลานอยู่ในที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันมาก ๆ เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสจากเด็กคนอื่น

โรคมือเท้าปาก เป็นแล้วเป็นอีกได้ไหม

          โรคมือเท้าปากเป็นแล้วเป็นซ้ำอีกได้ไหม คำตอบคือ เด็กที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปากมีโอกาสกลับมาเป็นโรคนี้ได้อีกครั้ง หรืออาจจะหลายครั้งค่ะ เนื่องจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปากก็มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ดังนั้นแม้จะเคยเป็นโรคมือเท้าปากมาแล้ว แต่อาจจะกลับมาเป็นโรคมือเท้าปากได้อีกครั้ง จากสาเหตุไวรัสเอนเทอโรไวรัสชนิดอื่น ซึ่งร่างกายยังไม่ได้สร้างภูมิต้านทานมาป้องกันนั่นเอง

โรคมือเท้าปาก ผู้ใหญ่เป็นได้ไหม
   
          โรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะเคยเป็นโรคนี้แบบไม่รุนแรงมาแล้วในตอนเป็นเด็ก ทว่าหากได้รับเชื้อเอนเทอโรไวรัสตัวใหม่ที่ร่างกายยังไม่มีภูมิต้านทาน ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการของโรคหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภูมิต้านทานของผู้ใหญ่ต่อโรคนี้ค่อนข้างแข็งแรงกว่าเด็ก ๆ ทว่าผู้ป่วยอาจแพร่เชื้อไปสู่เด็กหรือคนอื่น ๆ ได้นะคะ


แม่ท้อง เสี่ยงโรคมือเท้าปากหรือไม่
   
          ส่วนใหญ่หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อจะไม่มีอาการหรือมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย และยังไม่มีข้อมูลแสดงว่าแม่ตั้งท้องที่ป่วยด้วยโรคมือเท้าปากจะเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ความพิการของเด็ก หรือมีกรณีที่เด็กเสียชีวิตในครรภ์แต่อย่างใด ทว่าหากมีอาการป่วยที่สังเกตได้ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะเด็กอาจได้รับเชื้อโรคมือเท้าปากขณะคลอด ในกรณีที่มารดาป่วยด้วยโรคนี้ในช่วงใกล้คลอด ซึ่งส่วนมากทารกแรกเกิดที่ได้รับเชื้อจะมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรง และสามารถป้องกันได้โดยการปฏิบัติสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี
   
วิธีทำความสะอาดโรคมือเท้าปาก จะฆ่าเชื้อได้อย่างไรบ้าง
   
          จริง ๆ แล้วเชื้อเอนเทอโรไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่ไม่นาน เพียงเจอรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด หรือความร้อนที่อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที จากการอบหรือต้ม รวมทั้งการใช้น้ำยาซักล้างทั่วไปทำความสะอาดเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ ก็สามารถฆ่าเชื้อโรคมือเท้าปากได้แล้ว

          แม้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมือเท้าปากอาจจะยังไม่สูงมาก แต่ความรุนแรงของโรคก็ดูท่าจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นแล้วนะคะ ดังนั้นผู้ปกครองทุกคนควรทำความเข้าใจกับโรคมือเท้าปากอย่างละเอียดถี่ถ้วน และควรใส่ใจกับอาการผิดปกติที่เกิดกับคนในครอบครัว รวมทั้งอย่าลืมสร้างสุขอนามัยที่ดีในที่อยู่อาศัยด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
โรงพยาบาลพญาไท
                                                          

             
 

สุขภาพดี๋ ดี

เว็บไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ความรู้ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การเลือกกินอาาหาร เป็นต้น
 
Blogger Templates